หากพูด “พระเขี้ยวแก้ว” แล้วถือว่าปี พ.ศ. 2567 ที่กำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้านี้ เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเราชาวไทย โดยเฉพาะสำหรับพี่น้องพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เนื่องจากเราได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีสักการะพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “องค์แท้” เลยครับ
พระเขี้ยวแก้ว คืออะไร
โดยปัจจุบันพระบรมสารีริกธาตุนี้ประดิษฐานอยู่ในสองประเทศ ได้แก่ อินเดียและจีน ในปีเดียวกันนี้ เนื่องจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศได้อนุมัติให้มีการนำพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวมาประดิษฐานในประเทศไทยชั่วคราว เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสมหามงคลในวาระครบรอบ 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
ประเทศแรกที่อนุมัติให้รัฐบาลไทยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ คือ สาธารณรัฐอินเดีย โดยจะมีการนำมาประดิษฐานชั่วคราวใน 4 จังหวัดทั่วประเทศไทย ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ถึง 19 มีนาคม ซึ่งได้แก่ กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, อุบลราชธานี และกระบี่ มีพุทธศาสนิกชนชาวไทยและเพื่อนบ้านเข้าร่วมสักการะจำนวนถึง 4,105,729 คน
ประเทศที่ 2 คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่สำคัญเกี่ยวกับพระภิกษุจีนฟาเหียน ที่ได้เดินทางไปแสวงบุญจากจีนสู่อินเดียในปี พ.ศ. 942 โดยได้อัญเชิญ “พระเขี้ยวแก้ว” หรือ “พระทันตธาตุ” ของพระพุทธเจ้าเพื่อนำมาประดิษฐานในประเทศจีน หลังจากนั้นมีการเคลื่อนย้ายที่ประดิษฐานไปยังสถานที่ต่าง ๆ หลายครั้ง ก่อนที่จะนำไปประดิษฐานที่วัดหลิงกวงในมหานครปักกิ่งในที่สุด
พุทธศาสนิกชนทั่วโลกต่างรับรู้กันดีว่า พระบรมสารีริกธาตุที่เป็นพระทนต์ หรือที่เรียกว่า “พระเขี้ยวแก้ว” นั้น มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ปัจจุบันมีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่ได้รับโอกาสในการอัญเชิญไปสักการะบูชาอย่างถาวร
หนึ่ง คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีพระเขี้ยวแก้วประดิษฐานอยู่ที่วัดหลิงกวงในกรุงปักกิ่ง และสอง ก็คือ ประเทศศรีลังกาที่มีพระเขี้ยวแก้วอีกองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีทัลฒามัลลิกาวิหารในเมืองกัณฏิ
เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับพุทธศาสนิกชนชาวไทย ที่หนึ่งในสองของ “พระเขี้ยวแก้ว” ซึ่งมีอยู่ในโลก ได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานชั่วคราว เพื่อให้ชาวไทยได้มีโอกาสสักการะ ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม หรือวันพ่อแห่งชาติที่ผ่านมา
“พระเขี้ยวแก้ว” จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการอัญเชิญและมีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติจากรัฐบาลไทย ก่อนที่จะนำไปประดิษฐานชั่วคราวที่มณฑปชั่วคราว ณ ท้องสนามหลวงในปัจจุบัน
พระเขี้ยวแก้ว จากวัดหลิงกวงองค์นี้เคยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนให้นำมาประดิษฐานในประเทศไทยชั่วคราวเมื่อปี พ.ศ. 2545 ที่หอสมุดพระพุทธศาสนา มหาสิรินาถ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 75 ปี ในวันที่ 5 ธันวาคม 2545
ปัจจุบัน พระเขี้ยวแก้ว พระบรมสารีริกธาตุ จากวัดหลิงกวง ได้มีโอกาสเสด็จมาสู่ประเทศไทยอีกครั้ง และจะประดิษฐานอยู่ที่ท้องสนามหลวงจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568
โดยตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา มีพุทธศาสนิกชนชาวไทยเดินทางไปสักการะและเวียนเทียนอย่างคับคั่ง ได้มีประชาชนพากันเดินทางมาถึงมณฑลพิธี ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐาน พระเขี้ยวแก้ว ทุกคนจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองที่มีเข้มงวดสูงเพื่อป้องกันความปลอดภัย และเพื่อเป็นการปกป้ององค์พระบรมสารีริกธาตุที่ทางรัฐบาลจีนนั้นให้ความสำคัญอย่างสูงสุด
จากคนที่ได้มีโอกาสไปสักการะมาแล้ว ขอเน้นย้ำให้นำบัตรประชาชน ติดตัวไปด้วยครับ เพราะในการคัดกรองจำเป็นที่จะต้องใช้บัตรประชาชนด้วย เนื่องจากผู้ที่มีบัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต (สำหรับ นักท่องเที่ยว) จะมีความสะดวกมาก เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่จะขอสแกนเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองครับ หลังจากนั้นเราก็จะได้รับโปสต์การ์ดภาพ “พระเขี้ยวแก้ว” พร้อมกับบทสวดมนต์ระหว่างเวียนสักการะ รวมถึงดอกไม้สำหรับประนมมือบูชาด้วย 1 ดอก ครับ
โดยเราสามารถเดินทางได้ทุกช่วงเวลาตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 2 ทุ่มในแต่ละวัน แต่ช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือระหว่าง 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม เนื่องจากเป็นเวลาที่แดดเริ่มร่มและลมเริ่มพัด มีการเปิดไฟสว่างไสว ทำให้เหมาะแก่การถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างยิ่ง
สามารถบันทึกภาพ “มณฑป” ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว พร้อมกับวิวของวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังที่งดงามอยู่เบื้องหลัง เพื่อเป็นที่ระลึกอันมีค่าไปตลอดชีวิต หรือคุณอาจจะถ่ายภาพกับ “แบ็กดร็อป” ที่มีข้อความเกี่ยวกับพระเขี้ยวแก้ว พร้อมกับการตกแต่งด้วยดอกไม้และไม้ประดับที่สวยงาม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่น่าประทับใจ
“พระเขียวแก้ว” จะถูกประดิษฐานที่ท้องสนามหลวงจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 นี้เท่านั้นครับ ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่ายังมีเวลาอีกมาก แต่ถ้าบอกว่าอีกไม่นานก็อาจจะพลาดโอกาสดีๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นขอให้ลองหาเวลาเพื่อเข้าร่วมรับมหาสิริมงคลในครั้งนี้กันดูนะครับ สำหรับวันนี้ เว็บหวยสด คงต้องขอตัวลากันไปก่อน บทความหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ รอติดตามชมกันได้เลย สวัสดีครับ